เมนู

วรรคที่ไม่ได้สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์


สันธานวรรคที่ 1


1. โคตมีสูตร


[141] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโคร-
ธาราม ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล พระนางมหา-
ปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ
ทรงถวายบังคมแล้ว ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ
ประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเกิด พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ดูก่อนพระนางโคตมี อย่าเลย พระนางอย่าชอบใจการ
ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วของ
มาตุคามเลย.
แม้ครั้งที่ 2 พระนางปชาบดีโคตมีก็กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าอีกว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้
มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระ
ตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
พระนางโคตมี อย่าเลย พระนางอย่าชอบใจการออกบวชเป็น
บรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วของมาตุคามเลย.

แม้ครั้งที่ 3 พระนางปชาบดีโคตมีก็กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้
มาตคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย ที่พระตถาคต
ทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพระนาง-
โคตมี อย่าเลย พระนางอย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วของมาตุคามเลย.
ลำดับนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงพระดำริว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว เป็นผู้มีทุกข์ เสีย
พระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ ถวาย
บังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์
ตามพระประสงค์แล้วเสด็จจาริกไปทางพรพะนครเวสาลี เมื่อเสด็จ
จาริกไปโดยลำดับ เสด็จไปถึงพระนครเวสาลี ได้ยินว่า ณ ที่นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้
พระนครเวสาลี ครั้งนั้น พระนางปชาบดีโคตมีทรงปลงพระเกสา
แล้ว ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จไปทางพระนครเวสาลี พร้อม
กับเจ้าหญิงสากิยะหลายพระองค์ เสด็จเข้าไปยังกูฏาคารศาลา
ป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลีโดยลำดับ พระนางปชาบดีโคตมี
ทรงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสียพระทัย
พระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ ประทับยืนอยู่
ณ ซุ้มประตูด้านนอก ท่านพระอานนท์ได้แลเห็นพระนางปชาบดี-

โคตมีทรงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสีย
พระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืน
อยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก ครั้นเห็นแล้ว จึงกล่าวความข้อนี้กะ
พระนางว่า ดูก่อนพระนางโคตมี เพราะเหตุอะไรหนอ พระนาง
จึงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสียพระทัย
มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืนอยู่ ณ
ซุ้มประตูด้านนอก พระนางมหาปชาบดีโคตมีตรัสตอบว่า ข้าแต่
ท่านพระอานนท์ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่
ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่
พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ท่านพระอานนท์ก็กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น
ขอเชิญพระนางรออยู่ที่นี้แหละ ตราบเท่าที่อาตมภาพทูลขอพระผู้-
มีพระภาคเจ้าให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยนี้.
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนาง-
มหาปชาบดีโคตมีนี้ ทรงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง
มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง
ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า
ไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน
วโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย
ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ดูก่อนอานนท์ อย่าเลย เธออย่าชอบใจให้มาตุคามออกบวชเป็น
บรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย.
แม้ครั้งที่ 2 ฯลฯ
แม้ครั้งที่ 3 ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคาม
พึงออกบวชเป็น บรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศ
แล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ อย่าเลย เธอ
อย่าชอบใจให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่
ตถาคตประกาศแล้วเลย.
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ใน
ธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ผิฉะนั้น เราพึงทูลขอ
พระผู้มีพระภาคเจ้าให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรม
วินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วโดยปริยายแม้อื่น ลำดับนั้น
ท่านพระอานนท์ตรัสทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคต
ทรงประกาศแล้ว ควรจะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล
อนาคามิผล หรืออรหัตผลได้หรือไม่ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย
ที่ตถาคตประกาศแล้ว ควรทำให้แจ้งแม้โสดาปัตติผล สกทาคามิผล
อนาคามิผล อรหัตผลได้.

อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ามาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ทำให้แจ้งแม้โสดาปัตติผล
สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผลได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระนางปชาบดีโคตมีทรงมีอุปการะมาก เป็นพระมาตุจฉาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทะนุถนอมเลี้ยงดูให้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงดื่มน้ำนม ในเมื่อพระชนนีทิวงคตแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวชเป็นบรรพชิต
ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด.
พ. ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงรับ
ครุธรรม 8 ประการ นั่นแหละ เป็นอุปสมบทของพระนาง คือ
ภิกษุณี แม้อุปสมบทแล้ว 100 ปี พึงทำการกราบไหว้ ลุกรับ
ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุแม้อุปสมบทในวันนั้น แม้
ธรรมข้อนี้ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง
ตลอดชีวิต.
ภิกษุณีไม่พึงเข้าจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ แม้ธรรม
ข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง
ตลอดชีวิต.
ภิกษุณีต้องแสวงหาภิกษุถามถึงการทำอุโบสถ และการ
เข้าไปรับโอวาทจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี
ต้องสักการะ เคารพนับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.

ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในอุภโตสงฆ์ด้วย
ฐานะ 3 ประการ คือ ด้วยได้เห็น ได้ฟัง และรังเกียจ แม้ธรรม
ข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง
ตลอดชีวิต.
ภิกษุณีต้องครุธรรมแล้ว พึงประพฤติมานัตปักษ์หนึ่ง ใน
อุภโตสงฆ์ แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ
ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.
ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในอุภโตสงฆ์ เพื่อนางสิกขมานา
ผู้มีสิกขาอันศึกษาแล้วในธรรม 6 ประการ ครบ 2 ปี แม้ธรรม
ข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง
ตลอดชีวิต.
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวตักเตือนภิกษุ
ไม่ห้ามภิกษุว่ากล่าวตักเตือนภิกษุณี แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้อง
สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.
ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมีรับครุธรรม
8 ประการนี้ได้นั้นแลเป็นอุปสัมปทาของพระนาง.
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เรียนครุธรรม 8 ประการนี้
ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาพระนางปชาบดีโคตมี
แล้วกล่าวข้อด้วยความนี้กะพระนางว่า ดูก่อนพระนางโคตมี ถ้าแล
พระนางพึงยอมรับครุธรรม 8 ประการได้นั้นแลเป็นอุปสัมปทา
ของพระนาง คือ ภิกษุณีแม้อุปสมบทแล้ว 100 ปี ต้องกระทำ
การกราบไหว้ ลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุแม้

อุปสมบทในวันนั้น แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ
นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต ฯลฯ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวตักเตือนภิกษุ ไม่ห้ามภิกษุว่ากล่าวตักเตือน
ภิกษุณี แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา
ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต ดูก่อนพระนางโคตมี ถ้าแลพระนาง
พึงยอมรับธรรม 8 ประการนี้ได้ นั้นแลจักเป็นอุปสัมปทา
ของพระนาง.
พระนางมหาปชาบดีโคตมีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์
หญิงหรือชายแรกรุ่นหนุ่มสาว ชอบประดับ ตกแต่ง อาบน้ำชำระ
ร่างกายแล้ว ได้พวงดอกอุบล พวงมะลิ หรือพวงลำดวนแล้ว
เอามือทั้งสองประคองวางไว้บนศีรษะ ฉันใด ดิฉันก็ยอมรับครุธรรม
8 ประการนี้ ไม่ก้าวล่วงตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน.
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนาง
มหาปชาบดีโคตมีทรงยอมรับครุธรรม 8 ประการ ไม่ก้าวล่วง
จนตลอดชีวิต.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ หากมาตุคาม
จักไม่ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว
พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ 1,000 ปี
แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคต
ประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จักดำรง

อยู่เพียง 500 ปี ดูก่อนอานนท์ ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่มีหญิงมาก
ชายน้อย ตระกูลนั้นถูกพวกโจรกำจัดได้ง่าย แม้ฉันใด มาตุคาม
ได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัย
นั้นจักไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่ง ขยอกลงในนาข้าวที่
สมบูรณ์ นาข้าวนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด... เพลี้ยลงใน
ไร่อ้อยนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็น
บรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่ตั้ง
อยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่ง บุรุษกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อ
ไม่ให้น้ำไหลออก ฉันใด เราบัญญัติ ครุธรรม 8 ประการ
ไม่ให้ภิกษุณีก้าวล่วงตลอดชีวิตเสียก่อน ฉันนั้นเหมือนกัน.
จบ โคตมีสูตรที่ 1

วรรคที่ไม่จัดเข้าในปัณณาสก์


สันธานวรรคที่ 1


อรรถกถาโคตมีสูตรที่ 1


วรรคที่ 6

โคตมีสูตรที่ 1 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สกฺเกสุ วิหรติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จ
ไปประทับอยู่โดยการเสด็จครั้งแรก. บทว่า มหาปชาปตี ได้แก่
ผู้ได้พระนามอย่างนี้ เพราะเป็นใหญ่ ประชาคือพระโอรสและใน
ประชาคือพระธิดา. บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ให้นันทกุมารบวชก่อน
ทีเดียว ในวันที่ 7 จึงให้ราหุลกุมารบวช. เมื่อชาวพระนครทั้ง 2
ฝ่ายออกไปเพื่อเตรียมรบในเพราะเหตุทะเลาะกันเรื่องมงกุฎ พระ-
ศาสดาเสด็จไปทำพระเจ้าเหล่านั้นให้เข้าใจกันแล้วตรัสอัตตทัณท-
สูตร. เจ้าทั้งหลายทรงเลื่อมใสแล้วได้มอบถวายพระกุมารฝ่ายละ
250 องค์. พระกุมาร 500 องค์เหล่านั้นบวชในสำนักพระศาสดา.
ลำดับนั้นพระชายาของท่านเหล่านั้นส่งข่าวไป ทำให้เกิดความ
ไม่ยินดี (ในการบวช). พระศาสดาทรงทราบว่า ภิกษุเหล่านั้น
เกิดความไม่ยินดี จึงนำภิกษุหนุ่ม 500 รูปเหล่านั้นไปสู่สระชื่อว่า
กุณาละ ประทับนั่งบนแผ่นหินที่ทรงเคยประทับนั่งในครั้งที่พระองค์
เสวยพระชาติเป็นนกดุเหว่า. บันเทาความไม่ยินดีของภิกษุเหล่านั้น
ด้วยเรื่องกุณาชาดก แล้วให้ท่านทั้งหมดนั้นดำรงอยู่ในโสดา-